การส่งเสริมความฉลาดสำหรับเด็กปฐมวัย
พ่อแม่ทุกคนย่อมปรารถนาให้ลูกเติบโตเป็นคนดี
ฉลาด มีความสุขประสบความสำเร็จในการศึกษาและหน้าที่การงาน เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งการที่บุคคลจะประสบความสำเร๊จในชีวิตนั้น
นอกจากจะมีความฉลาดทางเชาว์ปัญญาหรือ
IQ ยังต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ ด้วย
ปัจจุบันพ่อแม่จำนวนมากที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับ
IQ EQ หรือมีอื่นๆ เช่น IQ,EQ,AQ,MQ,SQ
IQ
= Inteligence quotient หมายถึงความฉลาดทางสติปัญญา
วัดได้จากอายุสมองเทียบกับอายุจริง ปกติควรอยู่ที่ 90-100 เป็นการวัดความสามารถทางคิด
วิเคราะห์ ความสามารถทางวิชาการ วัดความจำ การอ่านเขียน คำนวณ
แต่ไม่ได้วัดด้านอื่นๆเช่น ความคิดสร้างสรรค์ ,ทักษะต่างๆในการทำงาน, ทักษะชีวิตประจำวันฯลฯ
การพัฒนา IQ
50% จากกรรมพันธุ์
50% จากสิ่งแวดล้อม
เช่น การเลี้ยงดู ความรักความอบอุ่น เพราะฉนั้นต้องมีเวลาให้ลูกหลาน อาหารครบห้าหมู่โดยเฉพาะ
ปลา ถั่วเหลือง วิตามินบี ธาตุเหล็ก ไอโอดีน โปรตีน, ประสบการณ์ต่างๆ เช่นจากการเล่น ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมกลุ่ม
การทำงาน การทำงานศิลปะ ดนตรี กีฬาที่ชื่นชอบ
, ได้ฟังนิทาน(วัยเด็กเล็ก) , มองเห็นคุณค่าตนเอง,
สัมผัสกับสังคม ชิวิตประจำวัน ,
อารมณ์ดี ไม่เครียด ,
ออกกำลังกายอย่าน้อย 30
นาทีต่อวัน จะช่วยให้มีสมาธิ สดชื่น คิดอะไรได้เร็ว อดทน
ไม่ซึมเศร้า ไม่ติดยาเสพติด
ความคิดในทางบวก มีความคิดอย่างสร้างสรรค์ จากการที่ได้รับคำชมเชยเสมอ
ได้รับการยอมรับการกระทำต่างๆที่ดี
EQ = Emotional quotient คือความฉลาดทางอารมณ์ การพัฒนา EQ คือ
รู้อารมณ์ของตนเอง
เข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เมตตาอารี
ช่วยเหลือผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่อารมณ์ค้างนาน
ไม่ให้ความรู้สึกเก่ามารบกวน การทำงานในปัจจุบัน ไม่ว่ารัก โกรธ หรือซึมเศร้าโกรธแล้วไม่ผูกใจเจ็บนาน
ใจเย็นเมื่อมีสถานการณ์ยั่วยุ จะเป็นคนที่น่านับถือ และจะมีคนกล้าให้คำแนะนำ
มีระเบียบวินัยในตนเอง เคารพสิทธิของผู้อื่น
ขยันหมั่นเพียร อดทน กระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา
มุ่งมั่นแน่วแน่ไม่ลดละ
วิธีฝึกการพัฒนา EQ
มีตัวอย่างที่ดีให้เด็กเห็น อารมณ์เด็กขึ้นกับอารมณ์ผู้เลี้ยงดู
ไม่ต่อว่าเด็กต่อหน้าเด็กคนอื่นๆ
หรือพูดเปรียบเทียบกับคนอื่นๆหรือพี่น้อง
หาทางชมเชยเด็ก แม้จะมีดีแค่หนึ่งอย่าง มีเสียสิบอย่าง เราก็ต้องใช้หนึ่งอย่างนั้นมาเป็นตัวชม
เพื่อช่วยพัฒนาตัวอื่นๆ
เวลาลูกทะเลาะกันอย่ามีอารมณ์ร่วม
ไม่ปกป้องมากเกินไป เพราะจะทำให้เด็กขาดทักษะ แก้ปัญหาไม่เป็น
ไม่ตามใจลูกมากเกินไป หรือกังวลมากเกินไป
ให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ถูกชม
เด็กอารมณ์ร้อนต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ใจเย็น ไม่ต้องมีอารมณ์ร่วม
ฝึกหัดระเบียบวินัยควรสร้างตั้งแต่เล็กๆ เช่น 7-8 เดือน เริ่มนั่ง กับรับประทานอาหาร ดูทีวีไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน
ฝึกทุกอย่างด้วยความรัก ไม่ใช่การบังคับ แต่ด้วยเหตุผล
การดุ การลงโทษ ประณาม ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเสมอไป
เพราะเด็กจะต่อต้าน
ทำใจให้เบิกบาน เปิดหูเปิดตา อย่าหมกมุ่นแต่ในบ้าน
AQ=ADVERSITY QUOTIENT คือความสามารถในการแก้ปัญหา
และการเผชิญกับวิกฤติ
AQ คือการวัดความสามารถ ในการจัดการกับปัญหาและวิกฤติ ใครที่สามารถจัดการได้ดี
จะเป็นผู้นำและเจ้าของกิจการ ในโลกของปัจจุบันและอนาคต ใครที่มี AQ ดีจะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส(Dr.Paul G stolt)ใครที่ไม่สามารถควบคุมAQได้ จะเป็นผู้พ่ายแพ้และเป็นได้แค่ลูกจ้างหรือตกงาน
เทคนิคการสร้าง AQ : ความสามารถในการแก้ไขปัญหา/อุปสรรค
เป็นกลไกของสมอง เกิดจากการฝึกฝนการแก้ปัญหาต่างๆ การทำอะไรด้วยตนเอง การละเล่น ทั้งประสบการณ์ที่ได้ผ่านมาในชีวิต
ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัย
การฝึกฝนการพัฒนา AQ
การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม
การฝึกทำกิจกรรมต่างๆ
สัมผัสกับชีวิตจริง ให้เด็กช่วยตัวเอง หัดทำงานตามวัย
ให้เด็กเผชิญกับอุปสรรคบ้าง
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มให้รู้จักช่วยงานพ่อแม่ ธุรกิจของพ่อแม่ หรือแม้แต่การรับจ้างทำงานในช่วงวัยรุ่น
ฝึกหาประสบการณ์ ตามที่ต่างๆช่วงหยุดปิดเทอม
หลักการสร้าง
Control ควบคุมเหตุการณ์/สถานการณ์ได้
Ownership ความเป็นเจ้าของปัญหาอยู่ที่ตัวเรา
Reach คิดว่าทุกประเภทมีทางแก้ไข ไม่ใช่จบสิ้นแล้วทุกอย่าง
Endurance มีความทนทานอดทนต่อปัญหาต่างๆ มองโลกในแง่ดี ไม่วู่วาม
Training คือการได้รับฝึกฝนแต่เยาว์วัยในการแก้ปัญหา
และเผชิญอุปสรรคตามวัยและศักยภาพ
สรุปการเพิ่ม AQ
มีสติตลอดเวลา ใช้สติในการแก้ไข
คิดว่าทุกอย่างมีทางออก
มองโลกในแง่ดี
เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส
MQ = Moral quotient จริยธรรม คุณธรรม
วิธีฝึกฝน
มีตัวอย่างที่ดีๆให้เห็น
ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ตั้งแต่เล็กๆ ก่อนวัยอนุบาล
อาจจะเป็นในรูปนิทาน
วัยอนุบาล ประถมต้น เล่านิทานสอนใจ ช่วยบำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน
ประถมปลาย มัธยม สอยหลักธรรม ตัวอย่างดี ช่วยบำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน
โรงเรียนด้อยโอกาส ช่วยสอนหนังสือหรือดูแลรุ่นน้องๆ ช่วยงานครู สอนเพื่อนๆที่อ่อนกว่า
ไม่ยอมรับพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง เช่นทำร้ายผู้อื่น พูดจาหยาบคาย
ขโมย โดยเฉพาะเด็ก 0-5
ขวบ
ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ควรได้รับการกล่อมเกลาจิตใจอย่างสม่ำเสมอ
เช่น ฟังธรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์
SQ = Social quotient ทักษะทางสังคม
การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น มีไหวพริบ รู้เท่าทันคน
ได้เล่นกับเพื่อนในวัยเด็กเล็กๆ
เด็กโตได้ทำกิจกรรมกลุ่ม
หรือทำงานอื่นๆร่วมกับเพื่อนๆ หรือทำงานหาเงินเล็กๆน้อยๆ เพื่อหาประสบการณ์ในชีวิต
คบเพื่อนๆที่หลากหลาย
เรียนรู้สังคม
ข่าวสารต่างๆ รอบตัว เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ตัวเราในบางข่าว
หมายเหตุ
IQ
ส่วนหนึ่งมาจากกรรมพันธุ์ และปรับเปลี่ยนยาก
เริ่มพัฒนาตั้งแต่ 0
- 5 ปี ส่วน EQ และ MQ ปรับเปลี่ยนได้ง่ายกว่า
และได้ทุกอายุ
การเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย
นายแพทย์บวร งามศิริอุดม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย
กล่าวไว้ว่า" เชื่อว่าคุณแม่คุณพ่อแทบทุกคนในปัจจุบัน
ต้องรู้จักนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกที่ชื่อว่า ไอน์ส-ไตน์ ไอน์สไตน์
มีความฉลาดทางปัญญา ( IQ) ประมาณ 180 ขณะที่คนทั่วไปมีไอคิวประมาณ 90-110 เท่านั้น เขาได้ให้ข้อคิดที่สำคัญไว้ว่า ถ้าอยากจะให้ลูกฉลาด
คุณแม่คุณพ่อควรจะเล่า นิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ และถ้าจะให้ลูกฉลาดมากยิ่งขึ้น ทำอย่างไรรู้ไหมครับ
ไอน์สไตน์บอกว่า ต้องเล่า นิ ทานให้ลูกฟังหลายๆ เรื่อง คิดว่าคนที่ฉลาดเช่นนี้
พูดไว้แบบนี้ เราคงต้องเชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ "
นิทานคือ โลกของภาษา
ภาพและหนังสือที่ปรากฏบนหนังสือนิทาน คือโลกของภาษา
การอ่านหนังสือให้ลูกฟังจึงมีความสำคัญมาก ต่อการพัฒนาของเด็ก
เปรียบเหมือนอาหารมื้อหนึ่งของวัน เพราะเป็นอาหารสมองและอาหารใจของลูก
พ่อแม่ทุกคนอยากให้เด็กรักการอ่านหนังสือ และเรียนเก่ง การทำให้เด็กรักการอ่านหนังสือไม่ยากเพราะเด็ก
มีความอยากรู้อยากเห็น ชอบสนุกสนาน ถ้าได้หนังสือที่ชอบและยากอ่าน
นิทานสำหรับเด็กปฐมวัยควรเป็นหนังสือภาพสำหรับเด็ก
ซึ่งหมายถึงหนังสือที่พ่อแม่อ่านให้เด็กฟัง ไม่ใช่หนังสือสำหรับเด็กอ่าน
การเล่านิทานให้ลูกฟังด้วยเสียงตนเอง ใช้ภาษาที่ดี เวลาเล่า
ความรู้สึกของผู้เล่าจะผ่านไปสู่ตัวลูกด้วย ถ้าผู้เล่านิทานรู้สึกตื่นเต้น
ลูกก็จะรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย
ความรู้สึกร่วมกันระหว่างพ่อแม่และเด็กระหว่างการเล่านิทาน
จึงเปรียบเสมือนสายใยผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก การเล่านิทานแม้เพียง 5 - 10 นาทีต่อเล่ม
แต่ผลที่มีต่อลูกและความสุขในครอบครัวนั้นมหาศาล
ลูกจะได้รับการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด สร้างจินตนาการแก่เด็ก
ฝึกสมาธิให้เด็กรู้จักสำรวจจให้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง
ซึ่งเป็นพื้นฐานการเตรียมความพร้อม ด้านการอ่านหนังสือ และปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กไปพร้อมกัน
นิทานสำหรับเด็กปฐมวัย
ความเหมาะสมของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัยจำเป็นต้องคำนึงถึงความสนใจ
การรับรู้และความสามารถตามวัยของเด็ก เป็นสำคัญ
จึงยังเกิดประโยชน์ที่แท้จริงต่อการเรียนรู้ของเด็ก เด็กจะเริ่มรับรู้นิทาน
จากภาพที่มองเห็นและเสียงที่ได้ยิน โดยรู้ความหมายไปทีละเล็กทีละน้อย
จนสามารถเชื่อมโยงภาพ และคำบอกเล่าที่ได้ยิน ตลอดจนจดจำเนื้อหาและเรื่องราวต่างๆ
ที่นำไปสู่การอ่านตัวหนังสือได้อย่างมีความหมายต่อไป
แหล่งข้อมูล
: "คู่มือวิทยากรโรงเรียนพ่อแม่สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข" กรมอนามัย
กระทรวงสาธารณสุข กุมภาพันธ์ 2547.